บทที่ 5 ตอนที่ 5
คนเมาหายเมาเป็นปลิดทิ้ง ใบหน้าที่เคยแดงก่ำเพราะพิษแอลกอฮอล์ซีดขาวราวกับกระดาษ ขณะที่ไฟในไนต์คลับก็สว่างพึ่บขึ้นพร้อมๆ กับนักเที่ยวที่ถูกต้อนเรียงแถวออกไปทีละคน
“เราลำบากแล้วล่ะนิ่ม”
“ไม่นะ นิ่มกลัวจังเลยภิญ เราจะทำยังไงดี” นาบุญกอดเพื่อนรักเอาไว้แน่น
ภิญญาพัชฌ์ถอนใจออกมาด้วยความกังวล นึกออกเลยว่าตัวเองกับนาบุญจะต้องมีชะตากรรมเช่นไร ในเมื่อหล่อนกับเพื่อนพึ่งจะก้าวข้ามวัยสิบเก้าปีมาแค่ไม่ห้าหกเดือนเท่านั้นเอง แล้วที่หน้าไนต์คลับก็ติดเอาไว้ว่าต้องอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ขึ้นไปถึงจะมีสิทธิ์เข้ามาในที่แห่งนี้ได้ คราวนี้อำนาจเงินก็คงปิดปากตำรวจเหมือนกับที่นาบุญยัดเงินให้กับคนตรวจบัตรประชาชนหน้าไนต์คลับไม่ได้แน่
“เราทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะนิ่ม คืนนี้คงต้องนอนโรงพัก”
“ไม่นะ นิ่มไม่อยากเข้าห้องขัง นิ่มไม่ยอม แล้ว...พรุ่งนี้มีสอบเช้าด้วย” นาบุญส่ายหน้าดิก น้ำตาซึม พลางนึกถึงคุณปู่ของตนเองขึ้นมาทันที
“นิ่มจะโทรหาคุณปู่”
นาบุญยิ้มกว้างอย่างมีความหวัง แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มทันควัน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนกับปู่กำลังอยู่ในช่วงทำสงครามประสาทกันอยู่
ภิญญาพัชฌ์เห็นเพื่อนหุบยิ้มก็รู้ทันทีว่านาบุญกำลังคิดอะไรอยู่ เดาได้เลยว่านาบุญไม่มีทางยอมลดทิฐิโทรหาคุณปู่แน่นอน และมันก็จริงดั่งคิด
“นิ่มไม่คุยกับคุณปู่มาเกือบเดือนแล้วนี่”
“ถ้านิ่มไม่ลดทิฐิ คืนนี้นิ่มจะต้องนอนในห้องขังนะ แล้วก็จะไม่ได้ไปสอบด้วย”
นาบุญส่ายหน้าทันควัน ก่อนจะพูดต่อด้วยความถือดี
“นิ่มยอมลำบาก ยอมติดเอฟ แต่นิ่มจะไม่ยอมแพ้คุณปู่เด็ดขาด”
ภิญญาพัชฌ์ถอนใจออกมาแรงๆ ในใจรู้สึกผิดต่อผู้เป็นยายเหลือเกิน ใช่...หล่อนเองก็ไม่มีหน้าโทรไปหายายแฉล้มเหมือนกัน เพราะหากท่านรู้ ท่านคงร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันจะไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิดก็ตาม
“นิ่ม เข้าแถวเร็ว แล้วเดินไปข้างนอก พยายามก้มหน้าอย่าสบตากับตำรวจนะ”
ภิญญาพัชฌ์ร้องบอกเพื่อนให้เดินต่อแถวออกไป พลางนึกภาวนาขอให้ตำรวจมองข้ามพวกหล่อนไป เพราะหากแค่ตรวจฉี่หาสารเสพติด หล่อนกับนาบุญรอดอยู่แล้วเพราะไม่ได้ใช้ แต่หากถูกตรวจบัตรละก็ เสร็จแน่
แต่ก็เหมือนสวรรค์แกล้ง เมื่อตำรวจอ้วนพุงพลุ้ยคนหนึ่งเรียกให้หล่อนกับนาบุญหยุดเดิน และเรียกขอดูบัตรประชาชน
“สองคนนี้หน้าละอ่อนเหลือเกิน อายุไม่น่าถึงยี่สิบ ไหนขอดูบัตรประชาชนหน่อยสิ”
“เอ่อ...” นาบุญถูกเรียกขอดูบัตรก็อึกอัก หันมามองภิญญาพัชฌ์อย่างขอความช่วยเหลือ
“พวกหนูถึงยี่สิบแล้วค่ะ ถึงแล้วจริงๆ”
ภิญญาพัชฌ์พยายามเอาตัวรอด แต่ครั้งนี้ไม่ได้ผลเลย เพราะนายตำรวจอ้วนคนนั้นกระชากกระเป๋าสะพายของนาบุญเอาไปรื้อค้นจนเจอบัตรประชาชน
“ไหนว่าอายุยี่สิบไง” ตำรวจชูบัตรประชาชนของนาบุญขึ้น
“คือว่า...”
“นี่พึ่งจะสิบเก้ามาได้แค่ห้าเดือนเอง อย่างนี้ต้องถูกข้อหาให้การเท็จต่อเจ้าหน้าที่อีกกระทงหนึ่งด้วย”
นาบุญหน้าซีดเผือด หันไปมองภิญญาพัชฌ์ ก็เห็นว่าเพื่อนรักมีสีหน้าไม่ต่างกันเลย
“คือ...คุณตำรวจคะ ปล่อยพวกหนูไปเถอะนะคะ พวกหนูพึ่งมาครั้งแรก คราวหน้าจะไม่ทำอีก”
นายตำรวจคนเดิมไม่ฟัง ขณะก้มหน้าลงอ่านชื่อและนามสกุลของนาบุญ
“นาบุญ โชติวรรธนา...” ตำรวจคนเดิมทำท่าครุ่นคิด ขณะทวนนามสกุลของนาบุญอีกครั้ง และทำตาโตเท่าไข่ห่าน
“โชติวรรธนา นี่มันนามสกุลของท่านเนาว์นี่ อย่าบอกนะว่าเธอเป็น...”
“หนูเป็นหลานสาวของท่านเนาว์ โชติวรรธนาค่ะ”
นาบุญเห็นท่าทางเบิกตากว้างของนายตำรวจก็พอจะเข้าใจว่าชื่อของคุณปู่มีผลต่อคู่สนทนามากมายแค่ไหน อย่างนี้ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์
“ทีนี้ปล่อยพวกเราไปได้หรือยังคะ”
แม้จะอยากจับแม่สาวน้อยตรงหน้าขังแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลอันดับต้นๆ ของเมืองไทยอย่างเนาว์ โชติวรรธนา
“ปล่อยแน่ แต่ไม่ใช่พวกเรา เป็นหนูคนเดียว” นายตำรวจพยักหน้ามาทางนาบุญ
“รีบไปซะ และหวังว่าจะไม่มีครั้งหน้านะแม่หนู”
นาบุญหันไปมองภิญญาพัชฌ์ด้วยความกังวลใจ หล่อนไม่มีทางไปไหนแน่หากเพื่อนของตนเองยังตกอยู่ในสภาพคับขันแบบนี้
“ต้องปล่อยเพื่อนหนูด้วย เรามาด้วยกัน”
“ไม่ได้...รีบไปซะ ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจ” นายตำรวจยศสัญญาบัตรยืนกรานเสียงแข็ง
“ไม่ค่ะ หนูไม่ไป” นาบุญเชิดหน้า จ้องหน้าคู่สนทนาเขม็ง
“ถ้าไม่ปล่อยเพื่อนหนู รับรองว่าคุณปู่ต้องเล่นงานคุณแน่”
“ไม่เอาน่านิ่ม ไปเถอะ ภิญไม่เป็นไรหรอก” ภิญญาพัชฌ์พยายามห้ามปรามเพื่อน หล่อนรู้ดีว่านายตำรวจตรงหน้าทำตามหน้าที่
“ไม่นะภิญ เราต้องไปด้วยกัน ภิญไม่ผิดสักหน่อย คนที่ผิดคือนิ่มต่างหาก และอีกอย่างภิญมีสอบพรุ่งนี้เช้าเหมือนกับนิ่มไม่ใช่เหรอ”
นาบุญหันมาจ้องหน้าเพื่อนรักที่ตอนนี้หน้าเศร้าหมองด้วยความละอายใจ หล่อนไม่น่าดื้อดึงมาเที่ยวในสถานที่แบบนี้เลย ไม่น่าเลยจริงๆ ดูสิทำเพื่อนรักเดือดร้อนจนได้
“ภิญไม่เป็นไรจริงๆ นิ่มรีบไปเถอะ พรุ่งนี้เช้าเขาก็คงปล่อยตัว...”
